Esta página puede contener contenido de terceros, que se proporciona únicamente con fines informativos (sin garantías ni declaraciones) y no debe considerarse como un respaldo por parte de Gate a las opiniones expresadas ni como asesoramiento financiero o profesional. Consulte el Descargo de responsabilidad para obtener más detalles.
¿por qué es importante leer el balance antes de tomar una decisión de inversión?
Balance Sheet (งบดุล หรือ งบแสดงฐานะทางการเงิน) เป็นเอกสารหลักที่เปิดเผยข้อมูลความเป็นจริงทางการเงินของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร นักลงทุน หรือเจ้าของกิจการ การเข้าใจวิธีอ่านและวิเคราะห์งบดุลนี้ถือเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญในการตัดสินใจทางการเงิน
งบดุล คืออะไรและเกิดมาจากไหน?
งบดุล แสดงฐานะทางการเงินของบริษัท ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในรูปของเอกสารทางการเงิน โดยระบุว่าบริษัทมี สินทรัพย์ (ทรัพยากรและสิ่งมีค่าที่บริษัทครอบครอง) เท่าไรและมาจากที่ไหน
กล่าวโดยสรุป งบดุล ประกอบด้วยสมการพื้นฐานดังต่อไปนี้:
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
สูตรนี้แสดงว่าทรัพยากรทั้งหมดของบริษัทนั้นมาจากสองแหล่ง ได้แก่ เงินยืมจากผู้อื่น (หนี้สิน) หรือเงินลงทุนจากเจ้าของ (ส่วนของเจ้าของ) ความสมดุลของสมการนี้คือเหตุผลว่าทำไมเรียกว่า “งบดุล”
ปัจจุบัน มาตรฐานการรายงานทางการเงินสากล (IFRS) ได้เปลี่ยนชื่อจาก “Balance Sheet” เป็น “Statement of Financial Position” เพื่อให้สื่อความหมายได้ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น ประเทศไทยก็ได้ปรับชื่อจาก “งบดุล” เป็น “งบแสดงฐานะทางการเงิน” เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
องค์ประกอบหลักของงบดุล ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
งบดุล ประกอบด้วยรายการ 3 หมวดหลัก ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
สินทรัพย์ (Assets): ทรัพยากรที่สร้างมูลค่า
สินทรัพย์ หมายถึง ทรัพยากรและสิ่งมีค่าที่บริษัทครอบครองหรือมีสิทธิใช้เพื่อสร้างรายได้ในการดำเนินกิจการ สินทรัพย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท:
สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets): เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ภายใน 1 ปี เช่น เงินสด, เงินฝากธนาคาร, ลูกหนี้การค้า (เงินที่ลูกค้าเป็นหนี้บริษัท), สินค้าคงคลัง, ค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้า
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (Non-Current Assets): เป็นสินทรัพย์ที่มีระยะเวลาใช้งานนาน มีสภาพคล่องต่ำ ไม่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ภายใน 1 ปี เช่น ที่ดิน อาคารสำนักงาน เครื่องจักรโรงงาน พาหนะ เงินลงทุนในบริษัทอื่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์
หนี้สิน (Liabilities): ภาระผูกพันที่ต้องชำระ
หนี้สิน คือ ภาระผูกพันทางการเงินของบริษัทที่ต้องชำระคืนให้กับผู้มีสิทธิ (เจ้าหนี้) ในอนาคต หนี้สินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท:
หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities): หนี้สินที่ต้องชำระภายใน 1 ปี เช่น เจ้าหนี้การค้า (บริษัทเป็นหนี้ผู้ขาย), เงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคาร, ภาษีค้างจ่าย, ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย
หนี้สินไม่หมุนเวียน (Non-Current Liabilities): หนี้สินที่ต้องชำระเกิน 1 ปี เช่น เงินกู้ระยะยาวจากธนาคาร, หุ้นกู้ (บริษัทออกเพื่อกู้ยืมจากนักลงทุน), หนี้สินเพื่อบำเหน็จพนักงาน
ส่วนของเจ้าของ (Equity): มูลค่าสุทธิของบริษัท
ส่วนของเจ้าของ คือ ส่วนแบ่งความเป็นเจ้าของที่เจ้าของและผู้ถือหุ้นมีต่อบริษัท คำนวณได้จากสินทรัพย์ลบด้วยหนี้สิน (Assets - Liabilities = Equity) มีส่วนประกอบ 2 ส่วน:
เงินทุนของผู้ถือหุ้น: เงินทุนที่ผู้ร่วมลงทุนหรือผู้ก่อตั้งบริษัทได้นำเข้ามาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน
กำไร (หรือขาดทุน) สะสม: กำไรสุทธิที่บริษัทสร้างได้จากการดำเนินงานแต่ละปี หลังจากหักค่าใช้จ่ายและจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นแล้ว เมื่อมีการขาดทุน ก็จะแสดงเป็นยอดขาดทุนสะสมแทน
งบดุลสามารถนำมาใช้ประเมินสุขภาพการเงินของบริษัทได้อย่างไร?
นักลงทุนและผู้บริหารสามารถใช้ข้อมูลจากงบดุล ในการวิเคราะห์และประเมินสถานะทางการเงินของบริษัทในหลายด้าน:
ประเมินสภาพคล่องทางการเงิน: ความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้สินระยะสั้นและรักษาเงินสดไหลเข้า วิเคราะห์จากอัตราส่วนของสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน
ประเมินศักยภาพการทำกำไร: วิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน (ส่วนของเจ้าของ) และประวัติการสะสมกำไรของบริษัย หากกำไรสะสมหดหายหรือมีขาดทุนต่อเนื่อง แสดงว่าบริษัทอาจมีปัญหาในการดำเนินงาน
เปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน: ใช้ข้อมูลจากงบดุลเพื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงิน กับบริษัทคู่แข่งในสาขาเดียวกัน เพื่อทราบว่าบริษัทแต่ละแห่งมีอำนาจการแข่งขันอย่างไร
ประเมินความมั่นคงทางการเงิน: พิจารณาสัดส่วนของหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (Debt-to-Equity Ratio) หากหนี้สินสูงเกินไป บริษัทอาจมีความเสี่ยงสูงต่อการผิดนัดชำระหนี้
รูปแบบการจัดทำงบดุล มี 2 วิธี
แบบที่ 1: งบดุลแบบบัญชี (Accounting Form)
รูปแบบนี้จัดรายการออกเป็นสองส่วนปัน (เรียกว่า T-form) โดยด้านซ้ายแสดงสินทรัพย์ ด้านขวาแสดงหนี้สินและส่วนของเจ้าของ วิธีนี้เป็นที่นิยมในประเทศไทยเพราะง่ายต่อการทำความเข้าใจและเปรียบเทียบ
ขั้นตอนการจัดทำ:
แบบที่ 2: งบดุลแบบรายงาน (Report Form)
รูปแบบนี้จัดเรียงรายการตามลำดับแนวตั้ง โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลัก: สินทรัพย์ (รวมทั้งหมด) → หนี้สิน (รวมทั้งหมด) → ส่วนของเจ้าของ (รวมทั้งหมด) สมการสุดท้ายต้องให้ผลว่า สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
ขั้นตอนการจัดทำ:
วิธีที่ถูกต้องในการอ่านและวิเคราะห์งบดุล
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากการอ่านงบดุล ควรทำตามขั้นตอนนี้:
ขั้นตอนที่ 1: ทำความเข้าใจบทบาทของงบดุล
งบดุล คือ “ภาพถ่าย” ของสถานะทางการเงินของบริษัท ณ วันใดวันหนึ่ง ไม่ใช่ภาพรวมของผลการดำเนินงาน ดังนั้นต้องใช้งบดุลร่วมกับเอกสารอื่นๆ เช่น งบกำไรขาดทุน เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจน
ขั้นตอนที่ 2: เข้าใจโครงสร้างและส่วนประกอบ
ตรวจสอบว่าสินทรัพย์ประกอบด้วยส่วนใด เช่น สินทรัพย์หมุนเวียนมากหรือน้อย หนี้สินที่ต้องชำระภายในปีปัจจุบันมีเท่าไร ส่วนของเจ้าของแข็งแรงแค่ไหน
###( ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของแต่ละรายการ
( ขั้นตอนที่ 4: เปรียบเทียบข้ามช่วงเวลา
อย่างสำคัญ ต้องเปรียบเทียบงบดุลของบริษัทในหลายปี เพื่อดูแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลง เช่น สินทรัพย์เพิ่มขึ้นหรือลดลง หนี้สินพยายามชำระหรือเพิ่มเติมอีก
ที่ไหนที่สามารถเข้าไปดูงบดุลของบริษัทต่างๆได้?
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการศึกษางบดุลของบริษัท สามารถเข้าไปดูได้จากเว็บไซต์ Datawarehouse.dbd.go.th ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
วิธีการเข้าดูงบการเงิน:
ข้อความระวังสำคัญเมื่ออ่านงบดุล
แม้ว่าการศึกษางบดุลเป็นข้อมูลที่สำคัญ แต่ยังมีข้อจำกัดที่ต้องระวัง:
ข้อมูลที่ล้าสมัย: งบดุลแสดงข้อมูล ณ วันที่จัดทำเท่านั้น หากมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลังจากนั้น )เช่น เปิดสาขาใหม่ หรือการขายสินทรัพย์สำคัญ ข้อมูลในงบดุลอาจไม่สะท้อนความเป็นจริง
ความน่าเชื่อถือและการตกแต่ง: งบดุลอาจมีข้อผิดพลาดหรือการบิดเบือนโดยจงใจ เพื่อให้ภาพของบริษัทดูดีกว่าความเป็นจริง ดังนั้นต้องตรวจสอบรายละเอียดและมีการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี
สภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง: ภาวะเงินเฟ้อ, การผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน, หรือการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงิน อาจทำให้อัตราส่วนที่เปรียบเทียบกับปีที่แล้วไม่สามารถเปรียบเทียบได้โดยตรง
ข้อมูลเพิ่มเติมจำเป็น: งบดุลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ควรอ่านร่วมกับเอกสารอื่นๆ เช่น งบกำไรขาดทุน, งบกระแสเงินสด, และหมายเหตุประกอบงบการเงิน
สรุป: งบดุล เป็นหัวใจของการวิเคราะห์การเงิน
งบดุล ถือเป็นเอกสารพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับการประเมินสุขภาพทางการเงินของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารที่ต้องการควบคุมการเงินภายใน, นักลงทุนที่ต้องการประเมินโอกาสลงทุน, หรือเจ้าหนี้ที่ต้องการประเมินความเสี่ยง
ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในการอ่าน วิเคราะห์ และตีความข้อมูลจากงบดุล จะช่วยให้ตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมั่นใจและแม่นยำยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องระวังว่าการอ่านงบดุลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ควรศึกษาข้อมูลทางการเงินอื่นๆ และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจประกอบกัน เพื่อให้ได้ความเข้าใจที่ครบถ้วนและตัดสินใจได้ดีที่สุด