Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
Kebocoran gelembung: Mengapa pasar melemah dan cara melindungi uang Anda
ทุกครั้งที่นักลงทุนพูดถึง ฟองสบู่แตก ก็เหมือนเป็นคำเตือนที่ทำให้ขนลุกและเงินกู้เข็นปืน เพราะคำนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับวิกฤตการเงิน หน้าตาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และการสูญเสียเงินครั้งใหญ่ ปรากฏการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรเศรษฐกิจที่มีลักษณะเฉพาะคือ ราคาของสินทรัพย์ต่างๆ พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่มันควรจะเป็น แล้วตามมาด้วยการหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
ฟองสบู่คืออะไร: ความจริงที่เย็นชาของตลาด
ฟองสบู่เกิดขึ้นในลักษณะที่ค่อนข้างง่าย: เมื่อราคาสินทรัพย์ใดๆ (ที่อยู่อาศัย หุ้น คริปโต ฯลฯ) พุ่งขึ้นจนห่างจากมูลค่าที่แท้จริงของมันไปไกล สิ่งนี้เกิดจากการเก็งกำไร ความเชื่อที่ยั่งยืนของนักลงทุนว่าราคาจะไม่เคยหยุด และความรู้สึกสมัครใจของกลุ่มที่มั่นใจว่ากำลังจะเป็นเศรษฐี
เมื่อพูดถึงกระบวนการนี้ จะเห็นว่าไม่ได้เกิดมาจากสาเหตุเดียว แต่เป็นการรวมตัวของพฤติกรรมอตรรกยะของมนุษย์ ตั้งแต่การกลัวที่จะพลาดโอกาสไปจนถึงความปรารถนาที่จะสร้างความมั่งคั่งในเวลาอันสั้น แบบนี้แล้ว ราคาเกินจริงเกินไป ในขณะที่ความเป็นจริงเดินนอกสนามอยู่ทั้งตัว
บทเรียนจากประวัติศาสตร์: เมื่อฟองแตกมันเสียหายแค่ไหน
ประวัติศาสตร์ของตลาดการเงินเต็มไปด้วยตัวอย่างของฟองแตกที่เสียหายรุนแรง มาดูกันว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงบอกเราอะไร
วิกฤตซับไพรม์ปี 2551: เมื่ออสังหาริมทรัพย์กลายเป็นอาวุธสำหรับการเก็งกำไร
ในช่วงก่อนการแตก สหรัฐฯ ประสบกับความกระหายในการซื้อที่อยู่อาศัย ธนาคารเริ่มออกสินเชื่อให้กับผู้ที่ไม่น่าจะได้ยินชื่อนี้มา - ผู้ที่อาจไม่มีรายได้เสถียรหรือไม่มีประวัติเครดิตที่ดี แต่กว่า “ส่วนลด” ใคร ราคาบ้านพุ่งสูง และนักลงทุนมองว่าบ้านไม่ใช่บ้าน แต่เป็นสินทรัพย์ที่หากมูลค่าขึ้นก็ได้ผลกำไร
ธนาคารก็สร้างตราสารทางการเงินซับซ้อนจากเงินกู้เหล่านี้ ทำให้หลายคนสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้น ตลาดเฟื่องฟูอย่างไม่เกิดประโยชน์ แต่เมื่อผู้กู้เริ่มไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ ระบบทั้งหมดก็ล่มสลาย หนี้เสียที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั่วโลกไปถึง 15,000 ล้านดอลลาร์
วิกฤตต้มยำกุ้ง 2540: บทเรียนจากไทยที่ไม่ควรลืม
ในประเทศไทยที่เวลาเดียวกัน ราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงอย่างต้มยำ อัตราดอกเบี้ยสูงผิดปกติ แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับเฟื่องฟู นักลงทุนถูกดึงดูดเข้ามาเพราะมองเห็นโอกาสสร้างกำไร และเงินทุนต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามา
ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดกลับเกิดขึ้น - ค่าเงินบาทถูกปรับลดลง ความหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศกระเบิด และเมื่อใครหลายคนพยายามขายอสังหาริมทรัพย์พร้อมกัน ราคาก็หลุดควบคุมลงมา นักลงทุนที่กู้ยืมมากมายเพื่อลงทุนต้องประสบหายนะ
บทเรียนที่เห็นชัดคือ: การกู้ยืมเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาวด้วยเงินกู้ระยะสั้นคือการเล่นกับไฟ
ตลาดไหนที่เสี่ยงต่อฟองสบู่แตก
ฟองแบบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว
ตลาดหุ้น: ราคาหุ้นบางตัวพุ่งสูงเกินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท วัดจากรายได้ สินทรัพย์ และผลการดำเนินงาน ฟองสบู่อาจปะทะตัวบ่อยหุ้นเดียวหรือทั้งภาคส่วนได้
อสังหาริมทรัพย์: คลาสสิกของฟองสบู่ ราคาที่อยู่อาศัยพุ่งสูงจนคนทั่วไปต้องออมเงินนานแต่ยังซื้อไม่ได้
สกุลเงิน: ทั้งเงินดั้งเดิมอย่างดอลลาร์ หรือสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ ก็ล้วนสามารถเกิดฟองได้
สินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำ น้ำมัน โลหะอุตสาหกรรม เมื่อการซื้อขายเก่งกำไรรุนแรง ราคาสามารถพุ่งสูงจนไม่สมจริง
สินเชื่อ: เมื่อสินเชื่อขยายตัวเร็วเกินไป ระบบทั้งหมดจะกลายเป็นโครงสร้างที่เปราะบาง
ทำไมฟองถึงแตก: ปัจจัยและจิตวิทยา
ไม่ได้มีปัจจัยเดียวที่ทำให้ฟองแตก เป็นการรวมตัวของหลายสิ่ง
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ: อัตราดอกเบี้ยต่ำดึงดูดการกู้ยืม สภาพเศรษฐกิจที่ดีชวนให้ลงทุน การเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่กระตุ้นอุปสงค์ การขาดแคลนสินทรัพย์ดันราคาให้สูง
พฤติกรรมของนักลงทุน: เมื่อเห็นราคาพุ่งสูง ทุกคนรีบเข้ามา ความเป็นหมู่วุ่นทำให้คนตามเพื่อน ความหวังจะได้กำไรในระยะสั้นปิดตาต่ออันตราย
อคติทางจิตวิทยา: ผู้คนเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือน และเลือกเชื่อเฉพาะข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อของตนเอง ความคิดในระยะสั้นทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาออกจากตลาดได้ทันก่อนแตก
ปัจจัยเหล่านี้บดรวมเข้าด้วยกัน สร้างวัฏจักรที่ไม่ยั่งยืนและมาถึงจุดสิ้นสุด
5 ขั้นตอนของฟองสบู่: จากการเกิดจนถึงการแตก
ขั้นที่ 1 - เรื่องใหม่ที่น่าตื่นเต้น: มีสิ่งใหม่เข้ามา - เทคโนโลยี อัตราดอกเบี้ยต่ำ หรืออุตสาหกรรมใหม่ที่ทำให้คนเชื่อว่าโลกจะเปลี่ยนไป เช่นอินเทอร์เน็ตในช่วงดอทคอม
ขั้นที่ 2 - ฝูงชนเข้ามา: พอโอกาสดี ทุกคนแห่เข้ามาเพราะกลัวจะพลาดโอกาส เงินหลั่งไหลเข้ามา ราคาพุ่งสูง สร้างวงการป้อนกลับเชิงบวก
ขั้นที่ 3 - ความมั่นใจเกินตัว: ในช่วงนี้ ผู้ลงทุนคิดว่าราคาจะสูงไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรจะหยุดพวกเขา การลงทุนและเก็งกำไรพุ่งสูง ราคาไปถึงระดับที่ไม่เป็นจริง
ขั้นที่ 4 - การลงจอ: ผู้คนเริ่มตระหนักว่าราคาสูงมากแล้ว พวกเขาขายสินทรัพย์ของตนเพื่อล็อกกำไร เริ่มมีการผันผวน
ขั้นที่ 5 - ความตื่นตระหนก: จำนวนขายเพิ่มขึ้น ทำให้คนอื่นตกใจและขายด้วย การขายตื่นตระหนกทำให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ฟองแตก อย่างเป็นทางการแล้ว
ปกป้องตัวเองจากการแตกของฟองสบู่
ถึงแม้ว่าฟองแตกเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่นักลงทุนสามารถทำบางอย่างเพื่อลดความเสี่ยง
ตั้งคำถามกับแรงจูงใจของคุณ: คุณลงทุนเพราะคิดตัดสินใจอย่างรอบคอบ หรือเพราะกลัวจะพลาดเมื่อเห็นคนอื่นสร้างกำไร หากเป็นเหตุข้างหลัง คุณกำลังเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
กระจายความเสี่ยง: อย่าทำให้พอร์ตโฟลิโอของคุณสมดุลบน “หม้อเข้มข้น” เดียว กระจายไปหลายประเภทสินทรัพย์และหลายภูมิภาค ถ้าฟองแตก ตัวคุณจะไม่กระวนกระวายมากนัก
จำกัดการเก็งกำไร: หากคุณสงสัยว่าฟองกำลังพอง จำกัดการเพิ่มความเสี่ยงให้กับสินทรัพย์เก็งกำไร สินทรัพย์เหล่านี้มักหลุดเร็วที่สุดเมื่อแตก
ลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป: แทนที่จะทำให้เงินทั้งหมดเข้าตลาดในครั้งเดียว ใช้ “Dollar Cost Averaging” - ลงทุนในจำนวนเล็กน้อยในช่วงเวลาหนึ่งๆ วิธีนี้ช่วยหลีกเลี่ยงการซื้อในจุดสูงสุด และลดผลกระทบของความผันผวน
เก็บเงินสด: มีเงินสดสำรองช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากโอกาสหลังจากแตก และเป็นตาข่ายนิรภัยถ้าคุณต้องขายจากตำแหน่งผสน
เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: ความรู้คือป้องกันที่ดีที่สุด ติดตามข้อมูลข่าวสารของตลาด ทำความเข้าใจสินทรัพย์ที่คุณลงทุน ค้นคว้าอย่างชาญฉลาดก่อนสละเงินออกไป
สรุป: เข้าใจฟองสบู่เพื่อไม่ให้ล่มสลาย
ฟองสบู่แตก เกิดขึ้นเมื่อราคาสินทรัพย์พุ่งสูงจากมูลค่าที่แท้จริง บ่วงจากการเก็งกำไรและความเชื่อของหมู่ชนว่าราคาจะไม่หยุด ในตอนแรก ความต้องการเพิ่มแต่อุปทานจำกัด ดันราคา แต่ความฟุ่มเฟือยนี้ไม่สามารถถูกต้องตัวได้นาน ผู้คนตระหนักว่าส่วนเกิน อุปสงค์ลดลง และเมื่อการขายเริ่มต้น ราคาตกด้วยความเร็วสูง ฟองแตก
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกในประวัติศาสตร์ การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น และแม้แต่เงินดิจิทัลล้วนมีประวัติเรื่องฟองสบู่แตก
สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่ารัฐได้มาจากไหน ระวังสัญญาณเตือน และตั้งตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสที่จะมา ด้วยการกระจายความเสี่ยง ลงทุนอย่างรอบคอบ และเรียนรู้ต่อไป คุณสามารถผ่านพ้นพายุฟองสบู่ที่อาจมาได้ ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น