Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
Mengapa harga aset Anda di Gate.io naik turun? Anda perlu memahami pasokan dan arti dari pasokan
คุณเคยสังเกตไหมว่าราคาหุ้นหรือโทเคนที่ติดตามนั้นพุ่งขึ้นตรงสักหน่วยแล้วก็หักตัวลงมาอย่างรุนแรง ซึ่งการเคลื่อนไหวแบบนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากแรงพื้นฐานของตลาดที่เรียกว่า อุปสงค์และอุปทาน ซึ่งเป็นกุญแจหลักที่ช่วยให้นักเทรดและนักลงทุนสามารถคาดการณ์และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาได้ถูกต้อง
อุปสงค์และอุปทาน คืออะไร?
พูดง่าย ๆ อุปสงค์ (Demand) คือความต้องการซื้อ ในขณะที่ อุปทาน (Supply) คือความต้องการขาย เมื่อคุณเห็นราคาขึ้น มักหมายความว่าผู้ซื้อมากกว่าผู้ขาย และเมื่อราคาลง ก็แสดงว่าผู้ขายมีพลังมากขึ้น
เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมองที่ เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทาน:
เมื่อสองเส้นนี้ตัดกัน ราคาดุลยภาพ (Equilibrium) ก็เกิดขึ้น
ราคาที่แท้จริงในตลาดจะทำให้อุปสงค์และอุปทานสมดุล ถ้าราคาสูงขึ้นจนสูงเกินไป ผู้ซื้อจะลด ผู้ขายจะเพิ่ม ทำให้สินค้าเหลือมาก แรงดันจึงทำให้ราคากลับลงมา ในทางกลับกัน ถ้าราคาต่ำเกินไป ผู้ซื้อจะเพิ่ม ผู้ขายจะลด ทำให้สินค้าขาดแคลน แรงดันจึงทำให้ราคากลับขึ้นไป
ปัจจัยที่ขับเคลื่อนความหมายอุปทาน ในตลาดการเงิน
ด้านอุปสงค์ (ความต้องการซื้อ)
ปัจจัยมหภาค: การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อล้วนมีบทบาท เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนชอบไปหาผลตอบแทนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ตลาดหุ้นจึงอิ่มไปด้วยผู้ซื้อ
สภาพคล่อง: ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น → มีเงินไปลงทุนได้มากขึ้น → ความต้องการซื้อสินทรัพย์ก็เพิ่มตาม
ความเชื่อมั่น: ข่าวดี การคาดการณ์ผลประกอบการ หรือสถานการณ์ทางการเมืองที่ดี → ผู้คนยินดีซื้อ → ราคาขึ้น
ด้านอุปทาน (ความต้องการขาย)
นโยบายบริษัท: การเพิ่มทุนเพิ่มจำนวนหุ้นในตลาด → อุปทานเพิ่ม หรือการซื้อหุ้นคืน → อุปทานลด
การเข้าจดทะเบียนใหม่ (IPO): บริษัทใหม่เข้ามา → หลักทรัพย์ใหม่หลั่งเข้าตลาด → อุปทานเพิ่มขึ้นและอาจกดราคา
กฎระเบียบ: Silent Period หรือข้อจำกัดการขายของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ล้วนส่งผลต่ออุปทาน
สิ่งที่คุณจะสังเกตได้บนแท่งเทียน
ไม่ต้องซับซ้อน ลองดูแท่งเทียน:
การใช้ Demand Supply Zone ในการเทรด
วิธีที่ได้รับความนิยมคือมองหาจุดที่ราคาวิ่งเร็ว ๆ แล้วมีการพักตัวในกรอบ จากนั้นปฏิบัติตามสองรูปแบบ:
1. การกลับตัว (Reversal)
ตัวอย่างขาขึ้น (DBR - Drop Base Rally):
ตัวอย่างขาลง (RBD - Rally Base Drop):
2. การต่อเนื่องตามแนวโน้ม (Continuation)
ขาขึ้นต่อ (RBR - Rally Base Rally): ราคาวิ่งขึ้น → พักตัว → วิ่งขึ้นต่ออีก (ความต้องการซื้อยังแรง)
ขาลงต่อ (DBD - Drop Base Drop): ราคาลง → พักตัว → ลงต่ออีก (ความต้องการขายยังแรง)
ทำไมเรื่องนี้สำคัญสำหรับนักลงทุน?
ไม่ว่าคุณจะใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน (fundamental analysis) หรือเทคนิค (technical analysis) ก็ตาม อุปสงค์และอุปทาน นั้นคือกลไกแท้จริงที่ขับเคลื่อนราคา
การทำความเข้าใจจริง ๆ ว่าแรงซื้อและแรงขายมาจากไหน คือสิ่งที่แยกแยะนักเทรดที่ประสบความสำเร็จจากคนที่ยังหลงใหลในตัวเลขราคาบนหน้าจออพยพ
สรุป
อุปสงค์และอุปทาน ไม่ใช่สมการที่ซับซ้อน แต่เป็นการสังเกตแรงพื้นฐานของตลาด ยิ่งคุณคิดถึง “ทำไมคนถึงซื้อ?” และ “ทำไมคนถึงขาย?” ได้มากเท่าไหร่ คุณก็สามารถสร้างแผนเทรดที่สมเหตุสมผลได้นั้นแต่แน่นอน การทำความเข้าใจทฤษฎีและการนำไปใช้จริงบนราคาสินทรัพย์นั้นเป็นเรื่องที่ต่างกันแบบสิ้นเชิน ลองฝึกดูบนแท่งเทียนจริง ๆ บ่อย ๆ แล้วคุณจะเห็นรูปแบบและสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นไป