Dow Theory กำเนิดมาจากบทความของ Charles H. Dow ที่ตีพิมพ์ในสำนักพิมพ์ The Wall Street Journal ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ร่วมกับการพัฒนาเพิ่มเติมจาก William Peter Hamilton
ในการสร้างแนวโน้มหลัก ลักษณะหนึ่งของ Dow Theory คือต้องการการยืนยันจากตัวชี้วัดหลายตัว ตัวอย่างเช่น Charles Dow ใช้ Dow Jones Industrial Average และ Dow Jones Transportation Average เพื่อยืนยันซึ่งกันและกัน หากดัชนีหนึ่งเข้าแนวโน้มขาขึ้น อีกตัวหนึ่งควรทำเช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี ยังเร็วสำหรับการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นจริงของตลาด
Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
Teori Bintang: Panduan Analisis Pasar untuk Trader
ทฤษฎีดาว (Dow Theory) คืออะไร
ทฤษฎีดาว เป็นแนวทางการวิเคราะห์เทคนิคที่เกิดขึ้นกว่า 100 ปีที่แล้ว และยังคงเป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาพฤติกรรมตลาดทุน โดยเฉพาะการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาและการระบุแนวโน้มตลาด
Dow Theory กำเนิดมาจากบทความของ Charles H. Dow ที่ตีพิมพ์ในสำนักพิมพ์ The Wall Street Journal ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ร่วมกับการพัฒนาเพิ่มเติมจาก William Peter Hamilton
แนวคิดหลักนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าใจวงจรตลาดตามการหมุนเวียนของภาคเศรษฐกิจและการปรับตัวของราคาหลักทรัพย์ได้ดีขึ้น
หลักการพื้นฐาน 6 ประการของ Dow Theory
1. ตลาดดูดซับข้อมูลทั้งหมดแล้ว
ทฤษฎีดาว ตั้งสมมติฐานว่าข่าวสารทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลกำไรคาดการณ์ สถานะการแข่งขัน หรือปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ล้วนสะท้อนออกมาในราคาหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการศึกษาราคาจึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเข้าใจตลาด
2. การแบ่งแนวโน้มออกเป็น 3 ระดับ
ทฤษฎีดาว จัดหมวดหมู่แนวโน้มราคาออกเป็น 3 ลำดับชั้นตามระยะเวลา:
3. โครงสร้างสามช่วงของแต่ละแนวโน้ม
ช่วง Accumulation (สะสม)
เป็นช่วงเริ่มต้นของรอบการขึ้นใหม่ ราคายังไม่แสดงสัญญาณชัดเจน นักลงทุนที่มองปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักจะเริ่มรวบรวมสินค้านี้ เนื่องจากมีมูลค่าต่ำและไม่สูงเกินไป ส่วนผู้ที่อาศัย Technical Analysis มักไม่เข้าร่วมเพราะแนวโน้มยังไม่ชัดเจน
ช่วง Public Participation (ปรับตัวขึ้นจำนวนมาก)
ราคาเริ่มขึ้นชัดเจนและปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สินค้านี้กลายเป็นเรื่องสนทนาของวงกว้าง นี่คือช่วงเวลาที่นักเก็งกำไรระยะสั้นค้นหา เนื่องจากมีโอกาสกำไรสูงและใช้เวลารอสั้น
ช่วง Distribution (แจกจ่าย)
ขั้นสุดท้ายของรอบการขึ้น ราคาบินสูงตามข้อมูลใจดีของตลาด นักลงทุนรายใหญ่เริ่มทำกำไร ขณะที่นักลงทุนรายย่อยยังเข้าซื้ออย่างกระตือรือร้น เข้าซื้อในช่วงนี้มีความเสี่ยงสูง ต้องเทรดด้วยความระมัดระวังและวินัยในการตัดขาดทุน
4. หลักการยืนยันร่วมกัน
ในการสร้างแนวโน้มหลัก ลักษณะหนึ่งของ Dow Theory คือต้องการการยืนยันจากตัวชี้วัดหลายตัว ตัวอย่างเช่น Charles Dow ใช้ Dow Jones Industrial Average และ Dow Jones Transportation Average เพื่อยืนยันซึ่งกันและกัน หากดัชนีหนึ่งเข้าแนวโน้มขาขึ้น อีกตัวหนึ่งควรทำเช่นเดียวกัน ถ้าไม่มี ยังเร็วสำหรับการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นจริงของตลาด
5. ปริมาณต้องเคลื่อนตัวตามแนวโน้ม
ปริมาณการซื้อขายจำเป็นต้องสนับสนุนแนวโน้มราคา ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ปริมาณควรเพิ่มขึ้นเมื่อราคาสูงขึ้น ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) ปริมาณควรเพิ่มขึ้นเมื่อราคาลดลง เมื่อปริมาณและแนวโน้มราคาสอดคล้องกัน แสดงว่าการเคลื่อนไหวนั้นแข็งแรงและไม่ใช่เพียงการแกว่งหรือปรับฐาน
6. แนวโน้มดำเนินต่อจนกว่าจะมีสัญญาณเปลี่ยนทำนาย
ราคาจะสนับสนุนแนวโน้มเดิมต่อไปจนกว่ามีสัญญาณชัดเจนของการเปลี่ยนทิศทาง ตัวอย่างเช่น ทองคำอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แต่ล่าสุดมีแรงขายติดต่อกัน 3 วัน ไม่สามารถทำจุดสูงใหม่ (Lower High) แต่ทำจุดต่ำใหม่ (Lower Low) ดังนั้นสัญญาณบ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นสิ้นสุดและเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลง
ลักษณะของแนวโน้มทั้งสามประเภท
แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
กราฟแสดงรูปแบบสลับขึ้นของระดับสูงและต่ำ:
แนวโน้มขาลง (Downtrend)
ตรงกันข้ามกับแนวโน้มขาขึ้น:
แนวโน้มออกข้าง (Sideways)
ราคายังไม่มีการเลือกทิศทางที่ชัดเจน เกิดการสลับขึ้นลงของ HH HL LH LL ไม่สามารถยกราคาสูงหรือลดราคาต่ำได้อย่างต่อเนื่อง
รูปแบบ Double Bottom และ Double Top
Double Bottom (ทำจุดต่ำสุดสองครั้ง)
เป็นรูปแบบสัญญาณการกลับตัวจากแนวโน้มขาลงเป็นขาขึ้น ลักษณะมีรูป “W” ที่เกิดจากการที่ราคาสัมผัสระดับต่ำสุดสองครั้งที่ใกล้เคียงกัน ระหว่างจุดต่ำสองนี้จะมีจุดสูงสุด (peak) กลายเป็นสัญญาณว่าแรงซื้ออาจกำลังชุมนุนและเตรียมพร้อมที่จะปรับตัวขึ้น
Double Top (ทำจุดสูงสุดสองครั้ง)
ตรงข้ามกับ Double Bottom รูปแบบนี้บ่งบอกการกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง ลักษณะมีรูป “M” ที่เกิดจากการที่ราคาสัมผัสระดับสูงสุดสองครั้งที่ใกล้เคียงกัน ระหว่างจุดสูงทั้งสองจะมีจุดต่ำสุด (trough) สัญญาณนี้ชี้ว่าแรงขายกำลังเข้ามา และแนวโน้มขาขึ้นอาจสิ้นสุดลง
การประยุกต์ใช้ Dow Theory ในการเทรด
เมื่อนักลงทุนวิเคราะห์ตลาดตามหลักการของทฤษฎีดาว สามารถทำได้ดังนี้:
สำหรับแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
สำหรับแนวโน้มขาลง (Downtrend)
การลงทุนในรูปแบบ CFD (Contract for Difference) เหมาะกับทฤษฎีดาว เพราะสามารถเทรดได้ทั้งทิศทางขึ้นและลง ซึ่งให้ความยืดหยุ่นในการแสวงหากำไรจากทุกสถานการณ์ตลาด
ข้อแข็งของทฤษฎีดาว
ข้อจำกัดของทฤษฎีดาว
บทสรุป
ทฤษฎีดาว เป็นระบบวิเคราะห์แบบคลาสสิกที่ยังมีความนำไปใช้ได้จริงในยุคสมัยนี้ เนื่องจากหลักการพื้นฐานยังคงชี้นำตรงไปตรงมา ผู้ที่ประสงค์ใช้ Dow Theory ควรเข้าใจว่าไม่ใช่ระบบสมบูรณ์แบบ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มองแนวโน้มและการขึ้นลงของตลาดได้ชัดเจนขึ้น การรวมกับการจัดการเงินทุนที่ดี การควบคุมความเสี่ยง และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์และสินค้าต่างๆ