Memahami bahwa permintaan sama dengan penawaran untuk memprediksi arah harga aset

นักลงทุนสมัยใหม่มักมองหาเครื่องมือในการวิเคราะห์ตลาด วิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ คือการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงซื้อและแรงขาย ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายการเคลื่อนไหวของราคา ลงมาจากทฤษฎีมาสู่การประยุกต์ใช้ในตลาดการเงินจริง

ราคาหุ้นเกิดมาจากไหน? ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย

ก่อนที่จะพูดถึง อุปสงค์เท่ากับอุปทาน ลองจินตนาการถึงฉากตลาด ที่นักลงทุนฝ่ายซ้ายต้องการซื้อหุ้นมากขึ้นเพื่อหวังได้ผลตอบแทน ส่วนฝ่ายขวาต้องการขายออกเพื่อรับกำไร ที่จุดนี้แม่นแล้ว - ราคาหุ้นจะปรับตัวไปยังจุดที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ

ความต้องการซื้อ (Demand) คือจำนวนผู้ซื้อที่เต็มไปด้วยความต้องการครอบครอง และต้องการจ่ายเงิน

ความต้องการขาย (Supply) คือปริมาณหุ้นที่ผู้ขายเต็มใจที่จะนำออกมาขายในราคาต่าง ๆ

เมื่อนำแนวคิดทั้งสองมาพล็อตลงในแผนภูมิ เส้นความต้องการซื้อจะโค้งลดลง (เมื่อราคาสูง ผู้ซื้อจะลดจำนวน) ส่วนเส้นความต้องการขายจะโค้งเพิ่มขึ้น (เมื่อราคาสูง ผู้ขายจะเพิ่มจำนวน) ที่จุดตัดของเส้นทั้งสอง เรียกว่า ดุลยภาพตลาด - นี่คือราคาที่ตลาดยอมรับ

เหตุผลสี่ประการที่ราคาเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

ด้านความต้องการซื้อ (Demand Side)

ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำลง ผู้ลงทุนย้ายเงินมาจากพันธบัตรมาหาผลตอบแทนในตลาดหุ้น ทำให้อุปสงค์เพิ่มสูงขึ้น

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเล่นบทบาทสำคัญเช่นกัน หากข่าวเศรษฐกิจดีเข้ามา หรือมีการคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทสดใส ความต้องการถือครองหุ้นจะพุ่งสูงขึ้นทันที

สภาพคล่องในระบบการเงินก็นำไปสู่ความกล้าในการลงทุน เมื่อมีเงินไหลมาในระบบเพียงพอ นักลงทุนจะมีความพร้อมสูงกว่าในการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง

ด้านความต้องการขาย (Supply Side)

การตัดสินใจของบริษัท มีผลโดยตรงต่อจำนวนหุ้นที่ลอยมาอยู่ในตลาด เมื่อบริษัทซื้อหุ้นคืน ปริมาณหุ้นจะหายไป ส่งผลให้อุปทานลดลงและชี้นำให้ราคาขยับขึ้น ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีการเพิ่มทุน ปริมาณหุ้นจะเพิ่มมากขึ้น กดดันให้ราคาปรับลง

การเข้าจดทะเบียนใหม่ (IPO) ของบริษัทต่างๆ เพิ่มปริมาณหลักทรัพย์ในตลาน ซึ่งในระยะสั้นอาจส่งผลกระทบต่อดุลยภาพราคา

กฎระเบียบและข้อบังคับจากหน่วยงานกำกับดูแลจะจำกัด หรือขยายความสามารถในการเสนอขายหลักทรัพย์ ทำให้อุปทานแคบลง หรือกว้างขึ้น

ร่วมเรียน: แรงซื้อแรงขายทำงานอย่างไร

เมื่อราคาปรับตัวขึ้นจากระดับดุลยภาพเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ: ผู้ขายเห็นราคาแพง ยินดีขายออกมาเพิ่มจำนวน ขณะเดียวกัน ผู้ซื้อเห็นราคาสูง ลดความเต็มใจในการซื้อ ผลคือ สินค้าค้างซ้ือ เกิด “ส่วนเกินของอุปทาน” ซึ่งกดดันให้ราคากลับเข้าสู่ดุลยภาพ

ในทางกลับกัน เมื่อราคาปรับลงจากระดับดุลยภาพ: ผู้ซื้อเห็นราคาถูก กระแสการซื้อเพิ่มมากขึ้น ส่วนผู้ขายส่ายหัว ลดความต้องการขาย ผลคือ สินค้าขาดแคลน เกิด “ส่วนเกินของอุปสงค์” ซึ่งเสริมให้ราคาปรับตัวกลับขึ้นไปหาดุลยภาพใหม่

แนวคิดเหล่านี้บอกเราว่า อุปสงค์เท่ากับอุปทาน เสมอในระยะยาว เพราะตลาดมีกลไกปรับตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ผู้เทรด ทำความเข้าใจอุปสงค์และอุปทาน ได้อย่างไร

1. มองเห็นสำหรับมูลค่า ไม่ใช่เพียงตัวเลขราคา

บนแผนภูมิ ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าตลาดของบริษัท (Market Cap) หากข่าวประกาศผลกำไรดี ความต้องการถือหุ้นจะพุ่งสูงแล้วราคาโยกตัวขึ้น ในทางตรงกันข้าม ข่าวติดลบหรือคาดการณ์ผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่คาด ความต้องการขายเพิ่มมากขึ้น ราคาขยับตัวลง

2. ค่อยๆ เรียนรู้จากรูปแบบแท่งเทียนและแนวต้าน-แนวรับ

แท่งเทียนสีเขียว (ราคาปิด > ราคาเปิด) บอกว่า “แรงซื้อชนะ” - ผู้ซื้อมีกำลัง แท่งเทียนสีแดง (ราคาปิด < ราคาเปิด) บอกว่า “แรงขายชนะ” - ผู้ขายมีกำลัง แท่งเทียนโดจิ (ราคาปิด ≈ ราคาเปิด) บอกว่า “ทั้งสองฝ่ายปะทะเท่า” - ไม่มีฝ่ายไหนแพ้

แนวรับ เป็นพื้นที่ที่นักลงทุนยินดีซื้อ (อุปสงค์รวมตัว) แนวต้าน เป็นพื้นที่ที่นักลงทุนยินดีขาย (อุปทานรวมตัว)

3. ใช้เทคนิค Demand Supply Zone ในการเทรด

ผู้เทรดเชิงเทคนิคใช้กลวิธีที่เรียกว่า Demand Supply Zone ตามหลังจุดที่ราคาไปได้ไกลเกินไป ตัวอย่าง:

RBR (Rally-Base-Rally) - ราคาวิ่งขึ้น พักตัวในกรอบ แล้วทะลุกรอบบนและวิ่งขึ้นต่อ ลงลายเซ็นว่าแรงซื้อยังเหนือกำลัง

DBD (Drop-Base-Drop) - ราคาดิ่งลง พักตัวในกรอบ แล้วทะลุกรอบล่างและดิ่งต่อ ลงลายเซ็นว่าแรงขายยังมีอำนาจ

นักเทรดสามารถเข้าทำรายการเมื่อราคา “เบรคเอาท์” กรอบพักตัวพร้อมตั้งจุดตัดขาดทุน เพื่อรักษากำไรและความเสี่ยง

อุปสงค์และอุปทานมีความสัมพันธ์กับการเติบโตของบริษัท

เมื่อเศรษฐกิจเติบโตดี บริษัทต่างๆ มองว่าตลาดมีโอกาส จึงมีสิ่งจูงใจเข้าจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้น (ปัจจัยอุปทาน) แต่ขณะเดียวกัน นักลงทุนก็มีความเชื่อมั่นสูงและต้องการถือสินทรัพย์มากขึ้น (ปัจจัยอุปสงค์) ในกรณีนี้ ทั้งสองปัจจัยมักทำงานควบคู่กัน การทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ช่วยให้นักลงทุนมองภาพตลาดอย่างเต็มตัว

สิ่งที่จำเป็นต้องจำไว้

อุปสงค์เท่ากับอุปทาน ไม่ใช่แค่สูตรเศรษฐศาสตร์หนึ่งสูตร แต่เป็นเลนส์ที่ช่วยให้นักลงทุนและนักเทรดมองเข้าไปในใจของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ความต้องการซื้อและความต้องการขายเป็นแรงขับเคลื่อนทั่วไป ที่หากเราสามารถอ่านมันได้ ก็เหมือนกับการแกะรอ “จิตใจตลาด” ทำให้การตัดสินใจลงทุนมีความแม่นยำมากขึ้น

การฝึกสังเกตแรงซื้อแรงขายอยู่ตลอดเวลาบนแผนภูมิราคา และนำหลักการมาประยุกต์ในสถานการณ์จริง คือทางที่จะทำให้ความรู้นี้จากคำพูดหรือหนังสือ กลายเป็นทักษะที่ใช้ได้จริงในการวิเคราะห์ตลาดและการลงทุน

Lihat Asli
Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
  • Hadiah
  • Komentar
  • Posting ulang
  • Bagikan
Komentar
0/400
Tidak ada komentar
  • Sematkan

Perdagangkan Kripto Di Mana Saja Kapan Saja
qrCode
Pindai untuk mengunduh aplikasi Gate
Komunitas
Bahasa Indonesia
  • 简体中文
  • English
  • Tiếng Việt
  • 繁體中文
  • Español
  • Русский
  • Français (Afrique)
  • Português (Portugal)
  • Bahasa Indonesia
  • 日本語
  • بالعربية
  • Українська
  • Português (Brasil)