Trang này có thể chứa nội dung của bên thứ ba, được cung cấp chỉ nhằm mục đích thông tin (không phải là tuyên bố/bảo đảm) và không được coi là sự chứng thực cho quan điểm của Gate hoặc là lời khuyên về tài chính hoặc chuyên môn. Xem Tuyên bố từ chối trách nhiệm để biết chi tiết.
Công nghệ tài chính Fintech: Đổi mới sáng tạo thay đổi cảnh quan doanh nghiệp tại Thái Lan
คำว่า “Fintech” ได้ผ่านจากแค่ศัพท์เทคนิคมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของไทยแล้ว แต่หลายคนยังไม่เข้าใจจริงๆว่ามันคืออะไร เทคโนโลยีทางการเงินนี้มีความหมายหลายด้านและมีการประยุกต์ใช้ที่หลากหลายขึ้นกว่าที่หลายๆคนจินตนาการได้
ฟินเทค คืออะไรกันแน่ เบื้องหลังระบบที่เปลี่ยนวิธีจัดการเงิน
“Fintech” เกิดจากการรวมศัพท์ Financial (การเงิน) กับ Technology (เทคโนโลยี) เป็นกลุ่มธุรกิจที่นำเอาความก้าวหน้าทางไซเบอร์มาผสมผสานกับระบบการเงิน เพื่อให้ธุรกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก และประหยัดมากขึ้น
ในอดีต การทำเรื่องการเงินต้องเสียเวลาเดินไปธนาคาร กรอกเอกสารยุ่งยาก และเสียค่าธรรมเนียมต่างๆ แต่วันนี้ เทคโนโลยีทางการเงิน เปิดให้เราทำการโอนเงิน ฝากถอน ลงทุน แลกเปลี่ยนสกุลเงิน ทั้งสิ้นผ่านระบบดิจิทัลจากที่บ้าน
ตัวอย่างเช่น การสแกน QR Code เพื่อชำระเงิน การกดเงินจากตู้ ATM หรือใช้บัตรเครดิตออนไลน์ ล้วนเป็นการประยุกต์ของเทคโนโลยีการเงิน ที่เราปฏิบัติอยู่ทุกวัน มันไม่ใช่อะไรใหม่ แต่เป็นระบบที่พัฒนามาตลอดเวลาเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยได้ดีขึ้น
เทคโนโลยีการเงินมีกี่รูปแบบ? ทั้ง 7 ประเภทที่ครอบคลุมการเงินสมัยใหม่
ฟินเทค ไม่ได้จำกัดแค่เพียงการชำระเงินเท่านั้น มันแตกแขนงออกเป็นหลายรูปแบบ โดยแบ่งตามวัตถุประสงค์และการใช้งาน:
1. Banking Technology - ธนาคารดิจิทัล
นำเทคโนโลยีมาจัดการระบบธนาคารให้สะดวกสบาย โดยผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมต่างๆผ่านมือถือและคอมพิวเตอร์ได้ทันที ไม่ต้องเดินทางไปสาขา ในไทย เราเห็นการพัฒนานี้ผ่านการชำระค่าบริการสาธารณูปโภค การโอนเงินระหว่างธนาคารแบบไม่มีค่าธรรมเนียม ทั้งนี้ประหยัดทั้งเวลาและเงินอย่างเห็นได้ชัด
2. Crowdfunding - การระดมทุนจากสาธารณะ
ระบบที่เอื้อให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก สตาร์ทอัพ หรือ SMEs สามารถหาเงินทุนจากบุคคลทั่วไปผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ ตามลักษณะของโครงการ ระบบนี้สร้างช่องทางเงินทุนที่ไม่ต้องผ่านธนาคารแต่อย่างใด
3. Cryptocurrency - สกุลเงินดิจิทัล
สกุลเงินที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อคเชน เพื่อให้ธุรกรรมทางการเงินทำได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง สามารถชำระสินค้า กู้ยืม หรือหารายได้ได้จริง ปัจจุบัน Cryptocurrency ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเพราะความป้องกันตัวและความอิสระทางการเงิน
4. Payment Technology - เทคโนโลยีการชำระเงิน
ระบบที่ให้ผู้คนสามารถชำระสินค้าและบริการโดยไม่ต้องใช้เงินสด วิธีการเช่น QR Code หรือ E-wallet (เช่น True Money Wallet) ล้วนเป็นตัวอย่างของ Payment Technology ซึ่งต่างจาก Banking ตรงที่เจ้าของแพลตฟอร์มไม่จำเป็นต้องเป็นธนาคาร
5. Enterprise Financial Software - ซอฟต์แวร์บัญชีองค์กร
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการทำบัญชีได้ง่าย ตั้งแต่ใบเสร็จ ใบเสนอราคา การออกใบกำกับภาษี ไปจนถึงการจัดการเงินเดือนพนักงาน ทั้งหมดแบบดิจิทัล โปรแกรมเช่น Flow Account เป็นตัวอย่างที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย
6. Investment Management - การบริหารจัดการการลงทุน
แอปพลิเคชันที่ทำให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคสามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ กองทุนรวม หรือ Cryptocurrency เราสามารถซื้อขายได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแอปพลิเคชัน ยกตัวอย่างเช่น Bitkub และ Streaming
7. Insurance Technology - เทคโนโลยีประกันภัย
ระบบการทำประกันภัยแบบดิจิทัลที่ไม่ต้องใช้กระดาษและเอกสารเพิ่มเติม การคำนวณค่าเบี้ย การวิเคราะห์ความเสี่ยง และการประเมินผลตอบแทน ทั้งหมดทำได้ผ่านระบบ ทำให้ความสะดวกเพิ่มขึ้นสำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
ฟินเทค ตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนไทย
ปัจจุบัน ทั้งภาครัฐและเอกชนในไทยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีทางการเงิน อย่างเห็นได้ชัด ภาครัฐสร้างแพลตฟอร์มเช่น “เป๋าตัง” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและให้ประชาชนใช้จ่ายมากขึ้น ในขณะที่ภาคเอกชนนำฟินเทคมาใช้ในการดำเนินธุรกิจต่างๆ
เทคโนโลยีการเงิน เปิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้แก่:
ประชาชนทั่วไป สามารถจัดการการเงิน ลงทุน ขอสินเชื่อได้โดยตรง โดยไม่ผ่านคนกลาง
ธนาคารและสถาบันการเงิน ไม่ได้ถูกคุกคาม แต่พัฒนาตัวเอง ผ่านการลดต้นทุน เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น เก็บข้อมูลได้ง่ายกว่า
ผู้ประกอบการ E-Commerce ได้รับช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย ตั้งแต่ Mobile Banking ไปจนถึง E-wallet ต่างๆ
นักลงทุน เข้าถึงตลาดทุนหลากหลายประเภท ตั้งแต่หุ้น กองทุน Cryptocurrency หรือ Crowdfunding
ผู้ประกอบการทุกขนาด ไม่ว่าร้านค้าเล็กหรือบริษัทใหญ่ สามารถจัดการบัญชีและระบบการเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวก
ฟินเทค มีข้อดี แต่ก็มีข้อเสียอย่างเห็นได้ชัด
ข้อดี:
ข้อเสีย:
ตัวอย่างสตาร์ทอัพฟินเทคไทยที่ประสบความสำเร็จ
Bitkub - แพลตฟอร์มเทรดสกุลเงินดิจิทัลอันดับหนึ่งของไทย เป็นตัวอย่างสตาร์ทอัพที่ขยายตัวอย่างเหมือนจรวด ผู้ใช้สามารถซื้อขาย BTC, ETH และเหรียญดิจิทัลอื่นๆได้สะดวก Bitkub เป็นการผสมผสาน Investment Management และ Cryptocurrency ที่ประสบความสำเร็จไม่น้อย
Finnomena - แพลตฟอร์ม Investment Management ที่จัดการเกี่ยวกับการลงทุนแบบครบวงจร ทั้งตลาดหลักทรัพย์ กองทุนรวม และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนการเงินในอนาคต รวมถึงช่วยประเมินความเสี่ยงส่วนตัวของผู้ลงทุน
Flow Account - โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เป็นจำนวนหนึ่งในแนวหน้าของไทย ออกแบบมาให้ใช้ง่าย เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงใหญ่ ทำให้การจัดการบัญชี ใบเสร็จ ใบสต็อคสินค้า เป็นเรื่องง่ายแม้ไม่มีความรู้เรื่องบัญชีมากมายนัก
สตาร์ทอัพเหล่านี้สร้างผลตอบแทนให้ผู้ประกอบการจำนวนมหาศาล และแสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีการเงิน ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
การเติบโตของฟินเทคในไทย: ความหวังและอุปสรรค
ถ้าถามว่าเทคโนโลยีทางการเงิน จะเติบโตในประเทศไทยได้เร็วเพียงไหน คำตอบก็คือ ยังมีข้อจำกัดหลายประการที่อาจจะทำให้การเติบโตช้าลง:
ข้อจำกัดด้านกฎหมาย - กฎหมายไทยยังไม่ค่อยมี VISA สำหรับนายทุนต่างชาติ ทำให้ธุรกิจฟินเทคไม่สามารถเข้าถึงความรู้และเงินทุนจากต่างประเทศได้ง่าย
ข้อจำกัดด้านการลงทุน - เถิง ธุรกิจฟินเทคสตาร์ทอัพประสบความสำเร็จ แต่ไทยยังมีปัญหาเรื่องเงินทุน ธนาคารมักไม่นิยมปล่อยสินเชื่อให้สตาร์ทอัพเพราะความเสี่ยงสูง
ข้อจำกัดด้านบุคลากร - ต้องการผู้เชี่ยวชาญและแรงงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีสูง อีกทั้งยังมีประชากรบางส่วนที่ยังขาดความรู้เกี่ยวกับวิธีใช้ระบบดิจิทัล
แม้มีอุปสรรคเหล่านี้ แต่ฟินเทค ยังคงมีศักยภาพในการเติบโต หากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเต็มใจแก้ไขปัญหาด้านกฎหมาย เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติและ Digital Nomads มาร่วมพัฒนาตลาด และหนุนการลงทุนให้สตาร์ทอัพมากขึ้น ก็จะเป็นประตูเปิดให้ธุรกิจไทยขยายตลาดสู่ต่างประเทศและเพิ่มรายได้เข้าประเทศมากขึ้น