Esta página pode conter conteúdos de terceiros, que são fornecidos apenas para fins informativos (sem representações/garantias) e não devem ser considerados como uma aprovação dos seus pontos de vista pela Gate, nem como aconselhamento financeiro ou profissional. Consulte a Declaração de exoneração de responsabilidade para obter mais informações.
Por que os investidores precisam compreender a arte da oferta e da procura no mercado de ações
ถ้าคุณเคยสงสัยว่าทำไมราคาหุ้นถึงเพิ่มขึ้นลงมาอย่างกะทันหัน คำตอบอาจอยู่ที่การทำความเข้าใจอุปสงค์ อุปทาน นักเศรษฐศาสตร์ใช้หลักการนี้มาหลายศตวรรษเพื่ออธิบายว่าราคาของสินค้าใด ๆ ถูกกำหนดอย่างไร แล้วนักลงทุนสมัยใหม่ก็นำหลักการเดียวกันนี้มาประยุกต์ใช้เพื่อคาดเดาการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงิน
ก่อนจะเทรด ต้องรู้จักแรงซื้อและแรงขาย
ตลาดหุ้นคือที่ที่แรงซื้อและแรงขายปะทะกันทุกวินาที เมื่อแรงซื้อมีมากเกิน ราคาจะปรับสูงขึ้น เมื่อแรงขายหนักหน่วง ราคาจะดิ่งลง ทั้งสองแรงนี้ก็คืออุปสงค์และอุปทาน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ราคา
สำหรับนักเทรดมือใหม่ การเข้าใจแนวคิดนี้อาจฟังแล้วพลิกแพลงมั้ยแหละ? แต่ถ้าคุณสามารถจับได้ว่าตลาดกำลัง “หิวเหล้ว” อุปสงค์ (ต้องการซื้อ) หรือ “อิ่ม” อุปทาน (อยากขาย) คุณก็ได้ข้อมูลที่เห็นโอกาสแล้ว
ความหมายอุปสงค์และอุปทาน: มันง่ายกว่าคิด
อุปสงค์ (Demand) - แรงซื้อ
เมื่อราคาต่ำลง คนก็อยากซื้อมากขึ้น เมื่อราคาแพงขึ้น คนก็ลดปริมาณการซื้อลง นี่คือกฎพื้นฐานของอุปสงค์ มันค่อนข้างเป็นสัญชาติญาณ
บนแผนภูมิราคา เส้นอุปสงค์จะลาดลงจากซ้ายไปขวา แสดงว่า ที่ราคาต่ำกว่า ปริมาณการซื้อก็เพิ่มขึ้น
ปัจจัยที่ขับเคลื่อนอุปสงค์มีหลากหลาย เช่น:
ยิ่งข่าวดี ยิ่งแรงซื้อแรง ยิ่งอุปสงค์หนัก ราคาก็ยิ่งปรับสูงขึ้น
อุปทาน (Supply) - แรงขาย
อุปทานนั้นเป็นภาพตรงข้ามกับอุปสงค์ เมื่อราคาปรับสูง ผู้ขายยินดีออกมาขายมากขึ้น เมื่อราคาลดลง ผู้ขายก็ชะลอการขาย
บนแผนภูมิ เส้นอุปทานจะลาดขึ้นจากซ้ายไปขวา แสดงว่า ที่ราคาสูงกว่า ปริมาณการเสนอขายก็เพิ่มขึ้น
อุปทานได้รับอิทธิพลจาก:
ดุลยภาพราคา (Equilibrium): จุดที่ตลาดสงบ
ที่จุดที่เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานตัดกัน คือจุดดุลยภาพ ที่นี่คือราคา “ยุติธรรม” ที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะไม่อยากเปลี่ยนแปลง
ถ้าราคาขึ้นไปเกินดุลยภาพ:
ถ้าราคาลงต่ำกว่าดุลยภาพ:
สิ่งที่ขับเคลื่อนอุปสงค์และอุปทานในตลาดจริง
ฝั่งอุปสงค์: เมื่อใจเย็นลง หรือใจร้อนขึ้น
ปัจจัยมหภาค เช่น นโยบายดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ การเติบโตของเศรษฐกิจ มีผลอย่างมหาศาล ตัวอย่างเช่น ถ้ากลางแกงคิดว่าเศรษฐกิจจะขึ้น นักลงทุนจะรีบเข้าตลาดหุ้น อุปสงค์จึงหนักขึ้น
สภาพคล่องของระบบ ยิ่งมีเงินไหลเวียนมากในระบบ นักลงทุนยิ่งมีแรงเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง
ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ข่าวดี ผลประกอบการดี โครงการใหม่ ล้วนทำให้แรงซื้อหนักขึ้น ในทางกลับกัน ข่าวสะเทือนใจก็ทำให้นักลงทุนรีบขายออก
ฝั่งอุปทาน: บริษัทและการควบคุม
นโยบายเสนอหลักทรัพย์ ถ้าบริษัทออกหุ้นใหม่ (เพิ่มทุน) อุปทานก็เพิ่มขึ้น ถ้าบริษัทซื้อหุ้นคืน อุปทานก็ลดลง
IPO ใหม่ เมื่อมีบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียน เสนอหลักทรัพย์ใหม่ให้ตลาด อุปทานก็เพิ่มอย่างกะทันหัน
กฎระเบียบตลาด บางครั้งอำนาจการกำกับดูแลจะจำกัดการขายหุ้นของผู้ถือรายใหญ่ (เช่น Silent Period) สิ่งนี้ลดอุปทานได้
ปฏิบัติจริง: Demand Supply Zone กับการจับจังหวะ
แทนที่จะพูดถูกทฤษฎี ลองดูว่านักเทรดใช้หลักการนี้อย่างไร
แบบ 1: ดิ่งลงแล้วกลับตัว (DBR - Drop Base Rally)
เกิดขึ้นเมื่อ:
นักเทรดเข้าซื้อตอน “ทะลุฐาน” พร้อมตั้งจุดตัดขาดทุนต่ำกว่าฐาน
แบบ 2: วิ่งขึ้นแล้วพลิก (RBD - Rally Base Drop)
เกิดขึ้นเมื่อ:
นักเทรดเข้าขายตอน “ทะลุกรอบล่าง”
แบบ 3 & 4: กระแสต่อเนื่อง (RBR / DBD)
นี่คือเมื่อแนวโน้มยังคงต่อเนื่อง เช่น:
นักเทรดจะเข้า “ทะลุจุดนั้น” ตามแนวโน้มต่อ
จับ Support & Resistance ด้วยลูกตา
Support (แนวรับ) คือจุดที่ผู้ซื้อรออยู่ ราคาลงมาถึงจุดนี้ แรงซื้อก็ขยับเข้า ราคาจึงกระเด้งขึ้น
Resistance (แนวต้าน) คือจุดที่ผู้ขายรออยู่ ราคาขึ้นมาถึงจุดนี้ แรงขายก็หนักเข้า ราคาจึงหันหลังลง
การตัดสินใจ entry/exit ของนักลงทุนหลายคนขึ้นอยู่กับจุดเหล่านี้ เมื่อราคา “ทะลุ” ผ่านไป บ่อยครั้งก็ดำเนินต่อไปในทิศนั้น
เทคนิค Candle Stick: แท่งเทียนบอกอะไร?
แท่งเทียนสีเขียว (ปิดสูงกว่าเปิด): แรงซื้อชนะ แท่งเทียนสีแดง (ปิดต่ำกว่าเปิด): แรงขายชนะ โดจิ (เปิด-ปิดใกล้เคียง): ปะทะกันเท่า ๆ กัน ยังไม่รู้ทิศทาง
บ่อยครั้ง ราคาจะตามแนวโน้มของแท่งเทียนสองสามแท่งก่อนหน้า ถ้าแท่งเขียวมากๆ ก็คาดว่าจะวิ่งต่อ
เวลาคิดการลงทุน อย่าลืมปัจจัยรอบข้าง
ความหมายอุปสงค์และอุปทาน นั้นมีประเมาะใจยิ่งขึ้น ถ้าคิดว่ามันเป็นเพียงตัวเลขบนแผนภูมิ เมื่อจริง ๆ มันคือการตัดสินใจของผู้คนหลายลาน คำตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับ:
ทำให้ง่าย: ระบบสามชั้นของการจับจังหวะ
ชั้นที่ 1 - ดูแนวโน้ม: ตลาดกำลังขึ้นหรือลง?
ชั้นที่ 2 - ดูแท่งเทียน: ตอนนี้ใครชนะ ผู้ซื้อหรือผู้ขาย?
ชั้นที่ 3 - ดูตำแหน่ง: ราคาใกล้ Support/Resistance ไหม? มีโอกาสกระเด้งขึ้นหรือตกลงไหม?
นำสามชั้นนี้มารวมกัน ก็เห็นภาพการเคลื่อนไหวของอุปสงค์อุปทานโดยรวม
สรุป: ทำไมต้องสนใจ?
ความหมายอุปสงค์และอุปทาน ไม่ใช่แค่ศัพท์เศรษฐศาสตร์ มันคือกลไกพื้นฐานของการกำหนดราคาทุกอย่างในตลาด ตั้งแต่หุ้น ค่ากระแสไฟ ไปจนถึง คริปโต
ถ้าคุณเข้าใจว่า:
คุณก็มีข้อมูล (ส่วนแม้ว่ามันไม่ใช่ 100% แน่นอน) ในการตัดสินใจลงทุนและเทรดได้ดีขึ้น
ขอให้จำไว้ว่า ตลาดเป็นศิลป์เหมือนกับวิทยาศาสตร์ การสังเกตและการฝึกฝนเป็นสิ่งที่จะพาคุณไปถึงการเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่า