Зрозуміти знецінення та амортизацію: рекомендації для інвесторів

ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) เป็นแนวคิดบัญชีที่สำคัญซึ่งส่งผลต่อการวิเคราะห์การเงินของบริษัท โดยตัวมันเองนั้นไม่ใช่การจ่ายเงินสด แต่เป็นสิ่งที่นักบัญชีใช้ในการลดค่าสินทรัพย์จากงบกำไรขาดทุน เมื่อนักลงทุนอ่านรายงานการเงิน พวกเขาต้องเข้าใจว่าค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายทำงานอย่างไร เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจบิดเบือนภาพของความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

ค่าเสื่อมราคาทำงานอย่างไร

สินทรัพย์ที่มีตัวตน เช่น อาคาร เครื่องจักร และรถยนต์ จะสูญเสียมูลค่าไปตามกาลเวลา ค่าเสื่อมราคาคือการแบ่งปันต้นทุนเริ่มต้นของสินทรัพย์เหล่านี้ไปตามช่วงอายุการใช้งานโดยประมาณ ตัวอย่างเช่น หากบริษัทซื้อรถยนต์ราคา 100,000 บาทโดยมีอายุการใช้งานคาดหวัง 5 ปี บริษัทจะหักค่าเสื่อมราคา 20,000 บาทต่อปี

ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Depreciation” เพื่ออธิบายกระบวนการนี้ แนวคิดค่าเสื่อม ภาษาอังกฤษ ก็เหมือนกับในภาษาไทย คือการลดราคาของสินทรัพย์ตามลำดับเวลา

สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าอายุการใช้งานของสินทรัพย์นั้นขึ้นอยู่กับการประมาณการ เช่น แล็ปท็อปอาจมีอายุการใช้งาน 5 ปี ในขณะที่อาคารอาจอยู่ได้ 40 ปี ค่าเสื่อมราคาจะรวมอยู่ในการคำนวณ EBIT (กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับนักลงทุน

EBIT vs EBITDA: ความแตกต่างที่สำคัญ

EBIT ย่อมาจาก Earnings Before Interest and Taxes คือกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายได้ถูกหักออกแล้วในตัวเลขนี้

EBITDA ย่อมาจาก Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization คือกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เมื่อคำนวณ EBITDA ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะถูกเพิ่มกลับเข้าไป

เหตุผลที่นักลงทุนใช้ EBITDA เพราะมันแสดงให้เห็นความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัทโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเลือกวิธีการคิดค่าเสื่อมราคา บริษัทที่มีสินทรัพย์ถาวรจำนวนมากอาจมี EBIT ต่ำ แต่ EBITDA สูง ซึ่งอาจให้ภาพที่ดีกว่าของความสามารถในการสร้างกำไร

สินทรัพย์ใดที่สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้

สินทรัพย์ที่สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ต้องมีลักษณะดังนี้:

  • เป็นของบริษัทและใช้ในการดำเนินธุรกิจ
  • มีอายุการใช้งานที่นานกว่าหนึ่งปี
  • เป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตน

สินทรัพย์ทั่วไปที่หักค่าเสื่อมราคาได้ ประกอบด้วย ยานพาหนะ อาคารและโครงสร้าง เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สำนักงาน คอมพิวเตอร์ เครื่องจักร และแม้กระทั่งสินทรัพย์ไม่มีตัวตนเช่น ซอฟต์แวร์ สิทธิบัตร และลิขสิทธิ์

สินทรัพย์ที่ ไม่สามารถ หักค่าเสื่อมราคาได้ ได้แก่:

  • ที่ดิน (เนื่องจากมีอายุการใช้งานไม่จำกัด)
  • ทรัพย์สินส่วนบุคคล
  • ของสะสมมูลค่า เช่น งานศิลปะและเหรียญ
  • การลงทุน เช่น หุ้นและพันธบัตร
  • สินทรัพย์ที่ใช้น้อยกว่าหนึ่งปี

วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา

1. วิธีเส้นตรง (Straight-line Method)

นี่คือวิธีที่ง่ายที่สุดและนิยมใช้มากที่สุด โดยบริษัทหักจำนวนเงินเท่าเดิมทุกปี

สูตร: (ต้นทุนของสินทรัพย์ - มูลค่าซาก) ÷ อายุการใช้งาน

ข้อดี: ง่ายต่อการคำนวณและเข้าใจ เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

ข้อเสีย: ไม่ได้คำนึงถึงการสูญเสียมูลค่าที่รวดเร็วในปีแรก หรือต้นทุนบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นในวงสุดท้าย

2. วิธีลดค่าเสื่อมราคาสองเท่า (Double-declining Balance)

วิธีนี้หักค่าเสื่อมราคามากขึ้นในปีแรก ๆ และลดลงในปีต่อ ๆ ไป เหมาะสำหรับสินทรัพย์ที่สูญเสียมูลค่าเร็ว เช่น รถยนต์

ข้อดี: ช่วยให้บริษัทได้รับการลดหย่อนภาษีมากขึ้นในช่วงแรก เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการกู้คืนต้นทุนอย่างรวดเร็ว

ข้อเสีย: ซับซ้อนกว่าวิธีเส้นตรง และอาจให้ผลลัพธ์ที่บิดเบือนในช่วงแรก

3. วิธีลดค่าเสื่อมราคา (Declining Balance Method)

คล้ายกับวิธีสองเท่า แต่ใช้อัตราการหักค่าที่ต่างกัน มูลค่าสินทรัพย์จะถูกหักด้วยเปอร์เซ็นต์คงที่ของมูลค่าคงเหลือ

4. วิธีหน่วยการผลิต (Units of Production Method)

วิธีนี้หักค่าเสื่อมราคาตามปริมาณการใช้งานจริง ไม่ใช่ตามเวลา เหมาะสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ตามการผลิต

ข้อดี: แม่นยำในการสะท้อนการใช้งานจริง

ข้อเสีย: ต้องติดตามการใช้งานอย่างแม่นยำ ซึ่งอาจซับซ้อน

ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) คืออะไร

ค่าตัดจำหน่าย เป็นแนวคิดคล้ายกับค่าเสื่อมราคา แต่ใช้กับสินทรัพย์ไม่มีตัวตนและเงินกู้

ค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน

สินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และซอฟต์แวร์ จะมีอายุการใช้งานที่กำหนด ตัวอย่างเช่น หากบริษัทจ่าย 10,000 บาทสำหรับสิทธิบัตรที่คาดว่าจะใช้ได้ 10 ปี ค่าตัดจำหน่ายจะเป็น 1,000 บาทต่อปี

ค่าตัดจำหน่ายสินเชื่อ

เมื่อบริษัทหรือบุคคลชำระสินเชื่อ เช่น สินเชื่อรถยนต์หรือสินเชื่อบ้าน การชำระแต่ละครั้งจะประกอบด้วยเงินต้นและดอกเบี้ย ในช่วงแรกของสินเชื่อ ส่วนใหญ่ของการชำระจะเป็นดอกเบี้ย ตามกาลเวลา สัดส่วนของเงินต้นจะเพิ่มขึ้นและดอกเบี้ยจะลดลง

ตัวอย่าง: หากคุณกู้ 10,000 บาท และชำระ 2,000 บาทต่อปีเป็นเงินต้น ค่าตัดจำหน่ายต่อปีจะเป็น 2,000 บาท

ความแตกต่างระหว่างค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย

ด้าน ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย
สินทรัพย์ สินทรัพย์ที่มีตัวตน (อาคาร, เครื่องจักร) สินทรัพย์ไม่มีตัวตนและเงินกู้
วิธีการ หลายวิธี (เส้นตรง, ลดราคา ฯลฯ) มักใช้วิธีเส้นตรงเท่านั้น
มูลค่าสุดท้าย อาจมีมูลค่าซาก มูลค่าจะเป็นศูนย์
การเปิดเผย แสดงแยกในงบดุล รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ

การวิเคราะห์ผลกระทบต่อการลงทุน

ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายมีผลต่อตัวเลขกำไรของบริษัย ดังนั้นนักลงทุนต้องเข้าใจความแตกต่าง เมื่อเปรียบเทียบสองบริษัย หนึ่งบริษัยมีสินทรัพย์ถาวรมากและบริษัทอื่น ๆ มีสินทรัพย์ถาวรน้อย บริษัทแรกอาจมี EBIT ต่ำกว่า แต่ EBITDA ที่ใกล้เคียงกัน

นี่คือเหตุผลที่บริษัทที่มีหนี้จำนวนมากจะมีดอกเบี้ยจ่ายสูง EBIT ช่วยขจัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและให้ภาพชัดเจนของศักยภาพการสร้างรายได้ก่อนต้นทุนทางการเงิน

สรุป

ทั้ง ค่าเสื่อมราคา และ ค่าตัดจำหน่าย เป็นแนวคิดที่จำเป็นสำหรับการเข้าใจการเงินของบริษัท ค่าเสื่อมราคาใช้กับสินทรัพย์ที่มีตัวตน ในขณะที่ค่าตัดจำหน่ายใช้กับสินทรัพย์ไม่มีตัวตนและเงินกู้ การรู้วิธีการคำนวณและวิธีที่พวกเขาส่งผลต่อ EBIT และ EBITDA จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจที่ดีขึ้นเมื่อวิเคราะห์การเงินของบริษัทได้

Переглянути оригінал
Ця сторінка може містити контент третіх осіб, який надається виключно в інформаційних цілях (не в якості запевнень/гарантій) і не повинен розглядатися як схвалення його поглядів компанією Gate, а також як фінансова або професійна консультація. Див. Застереження для отримання детальної інформації.
  • Нагородити
  • Прокоментувати
  • Репост
  • Поділіться
Прокоментувати
0/400
Немає коментарів
  • Закріпити