ทฤษฎี Dow Theory ที่พัฒนาโดย Charles H. Dow ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นั้นมองว่าการเคลื่อนไหวของราคาไม่ใช่เรื่องสุ่ม แต่เป็นลวดลายที่ซ้ำกันเป็นรอบๆ ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 3 ระดับได้ชัดเจน
ช่วง Public Participation (ส่วนร่วมสาธารณะ): ราคาเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน เป็นจุดวอร์มที่เหมาะสำหรับผู้เก็งกำไรเพราะความ Momentum ยังแข็งแรง
ช่วง Distribution (แจกจ่าย): ราคาพุ่งขึ้นสูงสุด นักลงทุนรายใหญ่เริ่มออกจากตำแหน่ง การเข้าซื้อในช่วงนี้มีความเสี่ยงสูง
4. ทุกอย่างต้องสอดคล้องกัน
Charles Dow ใช้ Dow Jones Industrial Average และ Dow Jones Transportation Average เพื่อยืนยันกันและกัน หากตลาดหนึ่งเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น ตลาดอื่นควรเข้าแบบเดียวกันด้วย มิฉะนั้นสัญญาณจะไม่น่าเชื่อถือ
Esta página pode conter conteúdos de terceiros, que são fornecidos apenas para fins informativos (sem representações/garantias) e não devem ser considerados como uma aprovação dos seus pontos de vista pela Gate, nem como aconselhamento financeiro ou profissional. Consulte a Declaração de exoneração de responsabilidade para obter mais informações.
Conheça a Teoria de Dow: Ferramenta básica para especuladores
ทฤษฎีดาว คืออะไร และเหตุใดนักลงทุนแทบทุกคนจึงต้องเข้าใจมัน? ในมากกว่า 100 ปีที่ผ่านมา แนวคิดนี้ได้กลายเป็นอิฐหินก้อนแรกของการวิเคราะห์เทคนิคแบบดั้งเดิม สำหรับใครที่ยังไม่เคยได้ยิน Dow Theory อาจเป็นข้อมูลที่เปลี่ยนวิธีคิดในการเทรดของคุณได้
โครงสร้างตลาดตามทฤษฎีดาว: 3 ขั้นตอนที่ต้องรู้
ทฤษฎี Dow Theory ที่พัฒนาโดย Charles H. Dow ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นั้นมองว่าการเคลื่อนไหวของราคาไม่ใช่เรื่องสุ่ม แต่เป็นลวดลายที่ซ้ำกันเป็นรอบๆ ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 3 ระดับได้ชัดเจน
แนวโน้มหลัก (Primary Trend) ถือเป็นทิศทางใหญ่ที่เทรดเดอร์ควรติดตามโดยเฉพาะ ระยะเวลาอาจยาวนานตั้งแต่ 200 วันจนถึง 4 ปี ส่วนใหญ่แล้ว นักลงทุนระยะยาวจะสนใจอย่างเข้มข้นกับแนวโน้มระดับนี้เพราะความน่าเชื่อถือสูง
แนวโน้มรอง (Intermediate Trend) เป็นการแก้ตัวชั่วคราวของแนวโน้มหลัก ระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน มักจะสร้างโอกาสให้กับผู้เก็งกำไรระยะกลาง
แนวโน้มย่อย (Minor Trend) คือการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาสั้นมากไม่เกิน 3 สัปดาห์ สำหรับผู้เทรดที่ชอบการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน: สัญญาณแนวโน้มของราคา
เมื่อคุณเข้าใจโครงสร้าง 3 ระดับแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจำแนกว่าตลาดกำลังเคลื่อนไหวในทิศทางไหน Dow Theory ระบุว่าราคาสามารถเดินตามรูปแบบพื้นฐาน 3 แบบ
ขาขึ้น (Uptrend): ลักษณะ Higher High และ Higher Low ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง หมายความว่าจุดสูงสุดใหม่สูงกว่าจุดเก่า และจุดต่ำสุดใหม่ก็สูงกว่าจุดเก่า เหตุการณ์แบบนี้บ่งชี้ว่าผู้ซื้อมีอำนาจเหนือตลาด
ขาลง (Downtrend): ตรงกันข้าม ราคาทำ Lower High และ Lower Low ค่อยๆ ลดต่ำลงมา สัญญาณนี้แสดงว่าแรงขายมีพลังมากขึ้น
เคลื่อนไหวออกข้าง (Sideways): ราคาสั่นคลอนไปมาแบบไม่มีทิศทางชัดเจน ไม่สามารถยกไฮหรือยกโลว์อย่างต่อเนื่องได้
หลักการ 6 ข้อที่เป็นมูลนิธิของทฤษฎี Dow Theory
1. ตลาดดูดซับข้อมูลไปแล้วหมด
ทุกข่าวสาร ข้อมูล และสถิติที่เกี่ยวข้องกับสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกำไรคาดหวัง ความเสี่ยง หรือข้อมูลในแง่บวก ล้วนสะท้อนอยู่ในระดับราคาปัจจุบันแล้ว ดังนั้น ชาร์ตราคาจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการวิเคราะห์
2. แนวโน้มมีอยู่ 3 ระดับ
ไม่เพียงแค่ขาขึ้นและขาลง แต่ยังรวมถึงการแยกแยะตามระยะเวลาด้วย ซึ่งเราได้กล่าวไปแล้ว
3. แต่ละแนวโน้มมี 3 ช่วงการพัฒนา
ช่วง Accumulation (สะสม): นักลงทุนขาดิจิตรแบบตั้งใจจุดเงินระหว่างการขาลง ราคายังไม่ปรับตัวชัดเจน
ช่วง Public Participation (ส่วนร่วมสาธารณะ): ราคาเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน เป็นจุดวอร์มที่เหมาะสำหรับผู้เก็งกำไรเพราะความ Momentum ยังแข็งแรง
ช่วง Distribution (แจกจ่าย): ราคาพุ่งขึ้นสูงสุด นักลงทุนรายใหญ่เริ่มออกจากตำแหน่ง การเข้าซื้อในช่วงนี้มีความเสี่ยงสูง
4. ทุกอย่างต้องสอดคล้องกัน
Charles Dow ใช้ Dow Jones Industrial Average และ Dow Jones Transportation Average เพื่อยืนยันกันและกัน หากตลาดหนึ่งเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น ตลาดอื่นควรเข้าแบบเดียวกันด้วย มิฉะนั้นสัญญาณจะไม่น่าเชื่อถือ
5. ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ต้องตรงกับแนวโน้ม
ถ้าราคากำลังขึ้น Volume ควรเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าราคากำลังลง ปริมาณขายควรเพิ่มขึ้น การสอดคล้องนี้คือการยืนยันแนวโน้มที่แท้จริง
6. แนวโน้มจะดำเนินต่อไปจนกว่ามีสัญญาณการเปลี่ยนเทรน
ราคาทองคำอาจขึ้นมาตลอด แต่เมื่อ 3 วันติดต่อกันมีแรงขายใหญ่ เกิด Lower Low และไม่สร้าง Higher High ก็แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นเสร็จสิ้นแล้ว เตรียมเปลี่ยนไปยังขาลง
Double Bottom และ Double Top: สัญญาณการเปลี่ยนแปลง
Double Bottom (ทำจุดต่ำสุด 2 ครั้ง) ปรากฏเมื่อตลาดไปแตะจุดต่ำ แล้วลอย ขึ้นมาชั่วคราว จากนั้นลงมาแตะจุดต่ำใกล้เคียงกันอีกครั้ง เหมือนตัวอักษร “W” ลวดลายนี้บ่งชี้ว่าตลาดจะปรับตัวขึ้นตอนจากนี้ไป
Double Top (ทำจุดสูงสุด 2 ครั้ง) เป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ราคาขึ้นไปถึงจุดสูง ลอยลงมา ขึ้นมาถึงจุดสูงใกล้เคียงกัน จากนั้นลง ลวดลายนี้เหมือน “M” และบ่งชี้ว่ามีการลดราคามาถึงเวลาแล้ว
ข้อเด่นและข้อด้อยของ Dow Theory
ข้อเด่น 👍
ข้อด้อย 👎
วิธีใช้ Dow Theory ในการเทรด CFD
หากคุณวิเคราะห์ราคาทองคำตามทฤษฎีดาวแล้วเห็นว่าอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (ทำ Higher High และ Higher Low) คุณสามารถวางแผนดังนี้:
ขณะเดียวกัน หากเห็นแนวโน้มขาลง (Lower High และ Lower Low) คุณสามารถทำ Sell Order เพื่อหวังกำไรจากการตกของราคา
กับแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือและอนุญาตให้เทรดทั้งสองทาง ทำให้การใช้ Dow Theory มีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทสรุป
ทฤษฎี Dow Theory ไม่ใช่วิธีทำนายราคาที่สมบูรณ์ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจตลาดได้ดีขึ้น การฝึกฝนและการประยุกต์ใช้เพิ่มเติมกับ Technical Analysis อื่นๆ จะช่วยให้กลยุทธ์ของคุณมีประสิทธิภาพและแนวโน้มที่ดีขึ้น หลักการพื้นฐานเรียบง่ายแต่มีกำลัง ตราบเท่าที่คุณมีวินัยและการจัดการเงินอย่างเหมาะสม