Esta página pode conter conteúdos de terceiros, que são fornecidos apenas para fins informativos (sem representações/garantias) e não devem ser considerados como uma aprovação dos seus pontos de vista pela Gate, nem como aconselhamento financeiro ou profissional. Consulte a Declaração de exoneração de responsabilidade para obter mais informações.
Qual país tem o maior poder de compra em 2568
ในระบบเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน สกุลเงินของประเทศต่างๆ มีความแตกต่างอย่างมากในด้านมูลค่าและเสถียรภาพ คำถามที่น่าสนใจคือ เงินประเทศไหนที่ศักยภาพทางการเงินแข็งแกร่งที่สุด ซึ่งวัดได้จากอัตราแลกเปลี่ยน 1 หน่วยสกุลเงินสามารถแลกได้กับค่าเงิน USD มากเท่าใด บทความนี้จะวิเคราะห์สกุลเงินที่มีอำนาจในตลาดสากลมากที่สุด ซึ่งนำมาจากการศึกษาอัตราแลกเปลี่ยนและสถานะเศรษฐกิจของประเทศเจ้าของสกุลเงินเหล่านั้น
องค์ประกอบหลักของความแข็งแกร่งทางการเงิน
ความแข็งแกร่งของสกุลเงินไม่ได้ขึ้นอยู่กับมูลค่าตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น ความมั่นคงของเศรษฐกิจ การส่งออกทรัพยากรหลัก ดุลบัญชีเดินสะพัด และความเชื่อมั่นในระบบการเงิน สกุลเงินที่มีความน่าเชื่อถือสูงมักจะมาจากประเทศที่มีรายได้ส่วนหัวประชากรสูง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลตลอดกาล และนโยบายการรักษาเสถียรภาพของกลางการเงิน
ลำดับสกุลเงินที่มีมูลค่าสูงสุดในปี 2568
อันดับ 1: ดีนาร์คูเวต (KWD) - 1 KWD = 3.26 USD
ดีนาร์คูเวตขึ้นแท่นเป็นสกุลเงินที่มีอำนาจแลกเปลี่ยนสูงสุดของโลก นับตั้งแต่นำมาใช้ในปี 1960 เพื่อแทนที่สกุลเงิน Gulf Rupee คูเวตเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 10 ของโลก ผลิตได้ประมาณ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักที่ผลักดันให้ GDP ต่อหัวประชากรเกินกว่า 20,000 ดอลลาร์ต่อปี เศรษฐกิจที่ร่ำรวยนี้ประกอบกับการตรึงค่าเงินไว้กับตะกร้าสกุลเงินหลากหลายจึงทำให้ KWD มีเสถียรภาพและอำนาจสูงสุด
อันดับ 2: ดีนาร์บาห์เรน (BHD) - 1 BHD = 2.65 USD
บาห์เรนนำสกุลเงินดีนาร์มาใช้ตั้งแต่ปี 1965 โดยผูกค่าไว้กับดอลลาร์สหรัฐแบบตรึงอัตราคงที่ตั้งแต่ปี 2001 การผลิตน้ำมันถือเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ พร้อมกับมีมูลค่า GDP ต่อหัวประชากรสูง อัตราเงินเฟ้อต่ำที่ 0.8% ส่งผลให้บาห์เรนยังคงรักษาตำแหน่งเป็นสกุลเงินที่มีความเสถียรและมูลค่าสูงอันดับสอง
อันดับ 3: เรียลโอมาน (OMR) - 1 OMR = 2.60 USD
โอมานตรึงค่าเงินเรียลไว้กับ USD ตั้งแต่ปี 1973 โดยเดิมตั้งไว้ที่ 2.895 USD แต่ปรับเป็น 2.60 USD ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ประเทศนี้ผลิตน้ำมันได้ประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เศรษฐกิจเติบโตอยู่ที่ 4.1% YoY และมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพียงพอ ทำให้โอมานยังคงเป็นสกุลเงินที่น่าเชื่อถือ
อันดับ 4: ดีนาร์จอร์แดน (JOD) - 1 JOD = 1.41 USD
จอร์แดนเป็นกรณีที่น่าสนใจ เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ได้ร่ำรวยมากเมื่อเทียบกับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอื่นๆ GDP ต่อหัวประชากรเพียง 3,891 ดอลลาร์ต่อปี และมีดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมาหลายสิบปี อย่างไรก็ตาม จอร์แดนยังคงมีเงินสำรองระหว่างประเทศ 13,533 พันล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2566 และอัตราแลกเปลี่ยนที่ตรึงกับ USD ช่วยให้ JOD อยู่ในลำดับสกุลเงินที่มีมูลค่าสูง
อันดับ 5: ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) - 1 GBP = 1.33 USD
ปอนด์สเตอร์ลิงมีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยแองโกลแซกซอน และในสมัยกลางอ้างอิงมูลค่ากับเงิน ต่อมาเปลี่ยนเป็นมาตรฐานทองคำในช่วงศตวรรษที่ 19 เศรษฐกิจอังกฤษขึ้นแท่นเป็นอันดับ 6 ของโลกด้วย 3% ของ GDP โลก ลอนดอนเป็นศูนย์กลางการเงินสำคัญ และภาคเทคโนโลยีมีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ปัจจุบัน GBP ใช้ระบบลอยตัวและคงยังขึ้นชื่อว่าเป็นสกุลเงินมหาอำนาจอันดับห้า
อันดับ 6: ปอนด์ยิบรอลตาร์ (GIP) - 1 GIP = 1.33 USD
ยิบรอลตาร์เป็นดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร และปอนด์ยิบรอลตาร์ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1934 สกุลเงินนี้ตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ 1:1 กับ GBP ยิบรอลตาร์อาศัยการเงินที่มั่นคง นโยบายภาษีต่ำ และบทบาทเป็นศูนย์กลางเกมออนไลน์และบริการการเงิน แม้ว่า GIP มีการใช้ในระดับสากลจำกัด แต่ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจของยิบรอลตาร์
อันดับ 7: ฟรังก์สวิส (CHF) - 1 CHF = 1.21 USD
ฟรังก์สวิสมีต้นกำเนิดตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และอ้างอิงมูลค่ากับเงิน สวิตเซอร์แลนด์มีกฎหมายให้สำรองทองคำเพื่อหนุนค่าเงินขั้นต่ำ 40% ทำให้ CHF เป็นสกุลเงิน “Safe Haven” ที่นักลงทุนหันมาเมื่อมีวิกฤต หลังวิกฤตหนี้สาธารณะของกรีซ ฟรังก์สวิสก็กลายเป็นที่ต้องการมากขึ้น ธนาคารกลางสวิสต้องเข้าแทรกแซงเพื่อควบคุมการเพิ่มมูลค่า CHF ยังคงเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ทรงอิทธิพลของโลก
อันดับ 8: ดอลลาร์หมู่เกาะเคย์แมน (KYD) - 1 KYD = 1.20 USD
หมู่เกาะเคย์แมนเป็นดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษในทะเลแคริบเบียน นำดอลลาร์มาใช้ในปี 1972 เพื่อแทนที่ดอลลาร์จาเมกา KYD ตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 1.20 USD ตั้งแต่ปี 1970 หมู่เกาะนี้เป็นศูนย์กลางการเงินนอกชายฝั่งที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก และแม้การใช้ KYD ในระดับสากลจำกัด แต่ความแข็งแกร่งสะท้อนจากกฎหมายการเงินที่มั่นคงและการพึ่งพาการท่องเที่ยวและการเงินระหว่างประเทศ
อันดับ 9: ยูโร (EUR) - 1 EUR = 1.13 USD
ยูโรเป็นสกุลเงินน้องใหม่ที่เริ่มใช้ในปี 1999 และนำไปใช้ในการทำธุรกรรมจริงตั้งแต่ปี 2002 ใช้ใน 20 ประเทศของโซนยูโร ในช่วง 3 ปีแรกเทรดต่ำกว่า USD แต่ต่อมากลับมาแข็งค่า จุดสูงสุดในปี 2008 ที่ 1.60 USD ยูโรเป็นสกุลเงินสำรองหลักของ IMF ด้วยสัดส่วน 29.31% และเป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศอันดับสองรองจาก USD ที่ 19.58% ของเงินสำรองทั้งหมด
ตารางเปรียบเทียบเงินประเทศไหนแพงที่สุด
สรุป: ความแข็งแกร่งไม่ได้เท่ากับเพียงอัตราแลกเปลี่ยน
สกุลเงินที่มีมูลค่าสูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นที่ปลอดภัยหรือมีศักยภาพมากที่สุดเสมอไป ความแข็งแกร่งแท้จริงของสกุลเงินขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของรัฐบาล เสถียรภาพของเศรษฐกิจ และความมั่นคงของระบบการเงิน ประเทศที่ผลิตน้ำมันอย่างคูเวต บาห์เรน และโอมาน ได้รับประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์และสหราชอาณาจักรอาศัยความเป็นศูนย์กลางการเงินและสถาบันเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ดังนั้น การวิเคราะห์สกุลเงินควรพิจารณาปัจจัยทั้งหมด ไม่ใช่เพียงอัตราแลกเปลี่ยนตัวเลขเท่านั้น