ประการที่สอง ผลทางการทดแทน - เมื่อสินค้ากลายเป็นของถูกเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น คุณจะเปลี่ยนมาใช้สินค้านี้แทน ตัวอย่างเช่น หากสินค้า A ลดราคาลงและเดือดเทียบกับสินค้า B ที่ไม่มีการลดราคา แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะสวิตช์มาใช้ A
Ця сторінка може містити контент третіх осіб, який надається виключно в інформаційних цілях (не в якості запевнень/гарантій) і не повинен розглядатися як схвалення його поглядів компанією Gate, а також як фінансова або професійна консультація. Див. Застереження для отримання детальної інформації.
Чому трейдерам важливо розуміти взаємозв'язок між силою покупок і силою продажів
เมื่อมองวิธีการเทรดหุ้นหรือสินทรัพย์ทางการเงิน หลายคนมักมองข้ามหลักการพื้นฐานที่สุด นั่นคือแรงซื้อกับแรงขายที่ขึ้นมาจากความต้องการของคนซื้อและผู้ขาย ถ้าเข้าใจหลักการนี้ดีพอ คุณก็จะสามารถอ่านตลาดและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้แม่นยำกว่า
อุปสงค์และอุปทาน: สองแรงที่ขับเคลื่อนตลาดการเงิน
ในวิทยาศาสตร์เศรษฐศาสตร์ แนวคิด อุปสงค์และอุปทาน ถูกมองว่าเป็นรากฐาน เพราะมันอธิบายว่าราคาเกิดขึ้นจากไหน
อุปสงค์ คือความต้องการซื้อสินค้า หรือสินทรัพย์ที่ระดับราคาต่างๆ เมื่อนำมาวาดกราฟ คุณจะได้เส้นอุปสงค์ที่แสดงว่า: ที่ราคาต่ำ ผู้คนต้องการซื้อมากขึ้น และที่ราคาสูง ผู้คนต้องการซื้อน้อยลง
อุปทาน ตรงกันข้าม คือปริมาณที่ผู้ขายเต็มใจที่จะขาย: ที่ราคาสูง ผู้ขายต้องการขายมากขึ้น และที่ราคาต่ำ ผู้ขายต้องการขายน้อยลง
เข้าใจพฤติกรรมของผู้ซื้อ: ทำไมราคาต่ำจึงดึงดูดการซื้อ?
สาเหตุที่ราคาลดลงทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นนั้นมาจากสองปัจจัย
ประการแรก ผลทางรายได้ - เมื่อสินค้ากลายเป็นของถูก เงินในกระเป๋าคุณก็มีพลังซื้อมากขึ้น คุณไม่เพียงแต่สามารถซื้อสินค้านั้นได้ แต่ยังสามารถซื้อของอื่นเพิ่มเติมได้ด้วย
ประการที่สอง ผลทางการทดแทน - เมื่อสินค้ากลายเป็นของถูกเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น คุณจะเปลี่ยนมาใช้สินค้านี้แทน ตัวอย่างเช่น หากสินค้า A ลดราคาลงและเดือดเทียบกับสินค้า B ที่ไม่มีการลดราคา แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะสวิตช์มาใช้ A
นอกเหนือจากราคา ความต้องการซื้อยังขึ้นกับปัจจัยอื่นเช่น:
ตัวอื่น: ทำไมผู้ขายต้องการขายมากขึ้นตอนราคาสูง?
สำหรับฝั่งผู้ขาย หลักการค่อนข้างตรงไปตรงมา: ที่ราคาสูง กำไรต่อหน่วยก็สูงขึ้น ผู้ขายจึงเต็มใจผลิตหรือนำสินค้ามาขายในปริมาณที่มากขึ้น
ปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ขาย:
ดุลยภาพ: จุดที่ตลาดหยุดเปลี่ยนแปลง
ลำพังแค่อุปสงค์หรืออุปทานไม่สามารถกำหนดราคาได้ ราคาที่เกิดขึ้นจริงเกิดขึ้นที่ ดุลยภาพ - จุดที่เส้นอุปสงค์กับเส้นอุปทานตัดกัน
ที่จุดนี้ ปริมาณที่ผู้ซื้ออยากซื้อพอดีเท่ากับปริมาณที่ผู้ขายอยากขาย ราคาจึงมีแนวโน้มที่จะเสถียรขึ้น
เกิดอะไรขึ้นหากราคาสูงกว่าดุลยภาพ? อุปทานเกิน - ผู้ขายต้องการขายมากแต่ผู้ซื้อซื้อน้อยลง ผลคือราคาถูกกดลง
เกิดอะไรขึ้นหากราคาต่ำกว่าดุลยภาพ? อุปสงค์เกิน - ผู้ซื้ออยากซื้อมากแต่ผู้ขายขายน้อยลง ผลคือราคาถูกดึงขึ้น
ตลาดหุ้นไม่ต่างจากตลาดสินค้าธรรมชาติ
หุ้นก็เป็นสินค้าเหมือนกัน เพียงแต่สินค้านี้แทนตัวบริษัทแทน ราคาหุ้นจึงสะท้อนให้เห็นว่าคนต้องการเป็นเจ้าของบริษัตนั้นแค่ไหน
เมื่อมีข่าวดี: ผู้ซื้อมากขึ้น อุปสงค์เพิ่ม ราคาขึ้น
เมื่อมีข่าวร้าย: ผู้ขายมากขึ้น อุปทานเพิ่ม ราคาลง
การตัดการเทรดด้วยหลักการอุปสงค์และอุปทาน
จำไว้: เส้นแนวรับแนวต้าน คือแรงซื้อและแรงขาย
แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่พบแรงซื้อ - นักลงทุนจำนวนมากเชื่อว่าราคานี้น่าซื้อ จึงสร้างอุปสงค์ขัดขวางราคาจากการตกต่ำ
แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่พบแรงขาย - นักลงทุนอีกกลุ่มเห็นว่าราคาแพงแล้วต้องการขาย จึงสร้างอุปทานขัดขวางราคาจากการขึ้นไป
Demand Supply Zone: เทคนิคเทรดขั้นสูง
เทคนิคนี้มองหา โซนการสร้างฐาน - พื้นที่ที่ราคาแกว่งตัวเมื่อแรงซื้อและแรงขายสมดุล จากนั้นนักเทรดรอให้ราคา เบรกเอาท์ (break out) จากโซนนี้
รูปแบบที่ 1: Demand Supply Zone Drop Base Rally (DBR)
ราคาดิ่งลงอย่างรวดเร็ว (Drop) เพราะอุปทานมากเกิน จากนั้นตัดราคาต่ำลงพร้อมกับแรงซื้อที่เข้ามา ราคาจึงแกว่งตัวในกรอบ (Base) ถ้าข่าวดีเข้ามา แรงซื้อจะกลับมาแข็งแรง และราคา ต่อยขึ้น (Rally) จากกรอบนั้น
รูปแบบที่ 2: Supply Zone Rally Base Drop (RBD)
ราคาวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว (Rally) เพราะอุปสงค์มากเกิน จากนั้นราคาปรับสูงพร้อมกับแรงขายที่เข้ามา ราคาจึงแกว่งตัวในกรอบ (Base) ถ้าข่าวร้ายเข้ามา แรงขายจะกลับมาแข็งแรง และราคา ดิ่งลง (Drop) จากกรอบนั้น
เทรดตามแนวโน้มต่อเนื่อง
ส่วนใหญ่ของเวลา ราคาไม่ได้กลับตัว แต่ ต่อเนื่อง ในทิศทางเดิม เมื่อเกิดการพักตัวเล็กน้อย ราคาจะทะลุกรอบพักตัวและวิ่งต่อไป
ขาขึ้น: Rally → Base → Rally (RBR) ราคาวิ่งขึ้น → พัก → เบรกเอาท์ขึ้นต่อ
ขาลง: Drop → Base → Drop (DBD) ราคาดิ่งลง → พัก → เบรกเอาท์ลงต่อ
การวิเคราะห์ราคาแท่งเทียน: อุปสงค์และอุปทานในหนึ่งแท่ง
แท่งเทียนสีเขียว (Close > Open): ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด = แรงซื้อชนะ = แรงสกัดกั้นอุปสงค์ ข้อมูลสัญญาณขาขึ้น
แท่งเทียนสีแดง (Close < Open): ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด = แรงขายชนะ = แรงสกัดกั้นอุปทาน ข้อมูลสัญญาณขาลง
โดจิ (Close ≈ Open): ราคาเปิดปิดใกล้เคียงกัน = สมดุล = ยังไม่มีผู้ชนะชัดเจน อาจจะเปลี่ยนทิศทางหรือต่อเนื่องขึ้นอยู่กับปัจจัยถัดไป
สรุปประเด็นสำคัญที่นักเทรดต้องรู้
อุปสงค์และอุปทาน ไม่ใช่แค่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์หนึ่งเรื่อง มันเป็นกุญแจที่เปิดประตูความเข้าใจตลาด ไม่ว่าจะเป็น ตลาดการเงิน ตลาดหุ้น หรือตลาดสินค้า
เมื่อคุณสามารถมองเห็นว่าแรงซื้อและแรงขายอยู่ที่ไหน คุณก็จะรู้ว่าราคาน่าจะไปไหน และจากนั้น การทำกำไรในการเทรดกำลังเป็นเพียงเรื่องของการอยู่ด้านที่ถูกต้องของการเคลื่อนไหวนั้น
ที่สำคัญที่สุด: ฝึกฝนการมองราคาแท่งเทียน สนใจการเก็บข้อมูลบันทึกปัจจัย และกำลังดำเนินการตามระบบของคุณเอง จนกระทั่งมันกลายเป็นสิ่งใหม่ ไม่ต้องรีบจากข้อมูลหลาย ครั้งที่เกิดซ้ำ คุณจะรู้